ต้องบอกว่าน่าสนใจมากครับ ที่ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำโดยท่าน รมต.ว่าการกระทรวงฯ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และคณะทำงาน Depa โดย ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกา และได้ไปเยี่ยมชมบริษัท 6 บริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เป็นศูนย์กลางการพัฒนาและลงทุนนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยี ในประเด็นที่แตกต่าง และน่าสนใจ ในครั้งนี้เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารประเทศทางด้านดิจิทัล ได้เดินทางไปเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี รวมถึงเชื่อมโยงการทำงานระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
คลิปนี้ครับ!! ผมอยากให้คิดซะว่าเราอยู่เรือลำเดียวกัน ในสถานการณ์เดียวกัน โดยมีกัปตันเรือกำลังไปเบิกทาง แลกเปลี่ยนพูดคุย เชิงรุก กับนานาประเทศ และขอบคุณมากที่เปิดโอกาสให้ผมได้ร่วมรับทราบในวันนั้น
วันนี้ครับ!!ผมขอแชร์สิ่งดี ๆ ให้ทุกคนที่อยู่บนเรือลำนี้ มองเส้นทางของการเดินทางไปด้วยกัน กับการเดินทางไปเยี่ยม 6 บริษัทยักษ์ใหญ่ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ดีอีเอส ปลื้มผลสำเร็จโรดโชว์สหรัฐ
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงความสำเร็จการเดินทางไปโรดโชว์ที่สหรัฐอเมริกา จับเข่าคุยผู้บริหารเฟสบุ๊ก-กูเกิล-ยูทูบ ร่วมมือจัดการข่าวปลอม ขายไอเดียไทยแลนด์ ดิจิทัลวัลเล่ย์ ดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าอีอีซี เตรียมเดินหน้าเร่งผลักดันโครงการสำคัญ ทั้งประมูล 5G และควบรวมทีโอที-แคท จัดตั้งบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (เอ็นที) ตามกรอบเวลา 6 เดือน
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แถลงว่า การนำคณะผู้บริหารเดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกา โดยปักหมุดที่ซิลิกอน วัลเล่ย์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการพัฒนาและลงทุนนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านเทคโนโลยี ถือเป็นการทำงาน “เชิงรุก” เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีระดับโลกที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว และแสวงหาโอกาสดึงดูดบริษัทด้านเทคโนโลยีรายใหม่ ๆ เข้ามาลงทุน
“ประเทศไทยวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราไม่สามารถขายข้าวเหนียวมะม่วง วิวทะเล หรือยิ้มสยามได้เหมือนแต่ก่อน ต้องออกไปเพื่อเสนอให้รู้ว่าไทยมีความพร้อม มีศักยภาพอีกหลาย ๆ ด้าน หากเราไม่ทำอะไร บริษัทยักษ์ใหญ่ก็จะไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้านหมด ไทยจะเสียโอกาส ทำให้ลูกหลานเก่ง ๆ ต้องไปทำงานที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะบ้านเราไม่มีงานบริษัทระดับโลกให้ทำ ผมและทีมงานจึงต้องทำงานเชิงรุก ให้บริษัทเหล่านี้กลับมาอยู่กับเราให้ได้” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ในการเยือนอเมริกาครั้งนี้ ยังมีโอกาสหารือกับผู้บริหารระดับสูงของแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ชั้นนำของโลก ได้แก่ เฟซบุ๊ก กูเกิล และยูทูบ เพื่อร่วมมือเรื่องการจัดการข่าวปลอม เนื้อหาและคลิปที่ไม่เหมาะสม สร้างความเสียหายกับประชาชน และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย
โดยทางเฟซบุ๊กแจ้งว่าเป็นครั้งแรกที่มีรัฐมนตรีจากประเทศไทยมาเข้าพบ จึงให้ความสำคัญมาก ในการหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูง เฟซบุ๊กได้ตกลงตั้งคณะทำงานระหว่างเฟซบุ๊กและกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ จัดการเนื้อหาที่เป็นเท็จ มีขั้นตอนในการทำงานร่วมกันอย่างชัดเจน และ timeline กระบวนการแจ้งลบ account ปลอม หรือข้อมูลเท็จ ซึ่งจะทำได้อย่างรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้เข้าพบผู้บริหาร ซิสโก้ ซิสเต็มส์ ณ สำนักงานใหญ่ที่ซิลิกอน วัลเล่ย์ และนำคณะฯ เข้าไปดูระบบรักษาพยาบาลทางไกล (telemedicine) ซึ่งเป็นระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ซึ่งพัฒนามาล่าสุด ออกแบบมาเพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสารทั้งภาพและเสียงได้อย่างชัดเจนทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างไกลกัน ทำให้สามารถพูดคุยกับคนไข้ได้แบบเรียลไทม์
“กระทรวงฯ มีโครงการเชื่อมโยงการรักษาพยาบาลประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลนแพทย์ โดยซิสโก้ให้ความสนใจเรื่องการรักษาพยาบาล อาจรวมกับเชื่อมโยงข้อมูลของผู้ป่วยและวิธีการรักษา ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกล ขาดแคลนแพทย์ และมีรายได้น้อย” รมว.ดีอีเอสกล่าว
นอกจากนี้ ยังใช้โอกาสเดินทางเยือนสหรัฐ เป็นเวทีนำเสนอภาพรวมด้านดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งมีแผนพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของอาเซียน ในพื้นที่ EEC หารือเรื่องการลงทุนในพื้นที่ดิจิทัลพาร์ค โดยประเทศไทยมี Thailand Digital Valley ที่พร้อมเชิญบริษัทยักษ์ใหญ่มาลงทุน
โดยได้รับการตอบรับอย่างดีจาก นาย Dave Mosley ซีอีโอ และคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ซีเกท ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ระดับโลก ที่มีฐานผลิตใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ประเทศไทย และมีการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยไทย 10 แห่ง ได้แก่ ม.สุรนารี ม.ขอนแก่น ม.พระจอมเกล้า ลาดกระบัง ร่วมพัฒนาทักษะนักศึกษาป้อนสู่ตลาดแรงงานดิจิทัล ถือเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และน่าสนับสนุนให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ร่วมกันส่งเสริมเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น
“การเดินทางครั้งนี้ได้รับการตอบรับและสนใจจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐ เป็นอย่างดีเนื่องจากเห็นสิทธิประโยชน์จากการลงทุน เพื่อขยายตลาดในไทย เราทำงานเชิงรุกเดินทางมาหารือกับบริษัทระดับยักษ์ใหญ่เหล่านี้ด้วยตัวเอง เพื่อรับฟังว่าพวกเขาต้องการอะไร ทางผมและรัฐบาลไทยจะพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นได้ตามยุทธศาสตร์เป้าหมายที่ใช้ดิจิทัลพัฒนาชาติ” นายพุทธิพงษ์กล่าว
สำหรับโครงการและแผนงานสำคัญที่กระทรวงฯ จะผลักดันเป็นอันดับต้น ๆ ในปีนี้ ได้แก่ เร่งสร้างโครงข่ายเทคโนโลยี 5G เป็นกลไกรองรับการลงทุน โดยให้นโยบายสองหน่วยงานภายใต้สังกัด คือ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ต้องเข้าร่วมประมูลโครงข่าย 5G ที่สำนักงาน กสทช. จะนำคลื่นออกประมูล ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ เพราะสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ก่อให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของปะรเทศให้มีความทันสมัย
“การสื่อสารผ่านโครงข่ายดิจิทัล ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับประชาชนในทุกวันนี้ และการประมูลโครงข่ายเทคโนโลยี 5G คือประตูสู่การมีเทคโนโลยี 5G ของประเทศไทย ยิ่งประมูลได้เร็ว ก็เท่ากับว่าสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และเพิ่มการจ้างงาน ให้ทันกับผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งจะทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ 190 บริษัทย้ายฐานออกจากประเทศจีนไปยังประเทศใหม่ ประเทศไทยจึงต้องพร้อมมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีอย่าง 5G รองรับการลงทุนนี้ ไม่ให้ฐานการลงทุนย้ายไปประเทศอื่น”
อีกทั้ง ยังมีแผนต่อยอดศูนย์ทดสอบ 5G (5G Testbed) ซึ่งนำร่องไว้รับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขต ศรีราชา เพื่อเกาะติดโอกาสการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G และหนุนเสริมบทบาทการเป็นหน่วยงานรัฐที่เป็น Leader ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ในการช่วยขับเคลื่อนนโยบายที่สร้างความ “ทันสมัย-ทั่วถึง-เท่าทัน” ให้กับสังคมไทย
ด้านความคืบหน้าของกระบวนการจัดตั้งบริษํท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที ภายหลังจากที่ ครม. มีมติอนุมัติควบรวมทีโอที และ กสท โทรคมนาคม เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ทั้งสองรัฐวิสาหกิจ จะเริ่มกระบวนการว่าจ้างที่ปรึกษา 3 ด้าน ได้แก่ ด้านกฏหมาย ด้านการควบรวมกิจการ และด้านทรัพยากรบุคคล ทำการศึกษาเพื่อจัดทำแผนธุรกิจ และโครงสร้างการดำเนินการทั้งหมด เพื่อให้การควบรวมแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
ท้ายสุดนี้ นายพุทธิพงษ์ ยังได้กล่าวเชิญชวนผู้สนใจสมัครลงทะเบียนร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล ซึ่งกระทรวง” ได้ร่วมกับมูลนิธิพัฒนานวัตกรรมสุขภาพ เตรียมจัดขึ้นในอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 มุ่งหวังให้เป็นกิจกรรมที่จะสนับสนุนการส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล ส่งเสริมการออกกำลังกายแก่ประชาชนทุกกลุ่ม สร้างความตระหนักในการรักษาสุขภาพและเป็นเวทีประชาสัมพันธ์นวัตกรรมสุขภาพด้านการสื่อสารความรู้สุขภาพเฉพาะบุคคล (Health for You)
ทั้งนี้ กิจกรรม Digital Run2020 มีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดงาน โดยผู้สนใจสามารถสมัครเดิน-วิ่ง แบ่งเป็น 2 ระยะทาง ได้แก่ ระยะทาง 5 กม. และมินิมาราธอน ระยะทาง 10 กม. สำหรับบุคคลทั่วไป ค่าสมัคร 600 บาท และสำหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย (Wheelchair) หรือผู้พิการทางการมองเห็น ไม่เสียค่าใช้จ่าย ลงทะเบียนสมัครได้ทางออนไลน์ผ่าน race.thai.run/DIGITALRUN19 รายได้ส่วนหนึ่งจากกิจกรรมจะนำไปบริจาคให้มูลนิธิคนพิการไทย